วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สัมผัสวิถีชาวบ้าน เลือกซื้อสินค้าชาวสวน ณ ตลาดน้ำท่าคา สมุทรสงคราม

สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดสมุทรสงครามที่นักท่องเที่ยวต่างรู้จักกันดีนั้นคือ ตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งเป็นตลาดน้ำยามเย็น ทุกๆบ่ายๆเย็นๆของวันหยุดจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ถ้าอยากหลีกหนีความวุ่นวายของจำนวนนักท่องเที่ยว อยากสัมผัสความเป็นธรรมชาติ และวิถีชาวบ้าน เพียงขับรถเลยจากตลาดน้ำอัมพวามาเพียง 4 กิโลเมตร ก็จะพบกับที่นี่ "ตลาดน้ำท่าคา"

** อุปกรณ์ทริปนี้ Canon EOS 550D + Tamron 17-50 f 2.8 VC + Tamron 70-300 f 4-5.6 VC USD


"ตลาดน้ำท่าคา" ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าคา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นตลาดยามเช้า เวลาที่เหมาะสมที่จะมาเที่ยวคือ 8.00 - 12.00 น. ตลาดแห่งนี้ต่างจากตลาดที่อื่นเนื่องจากจะเปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ ดังนั้นควรตรวจสอบข้างขึ้น ข้างแรมก่อนที่จะมาเที่ยว


"ตลาดน้ำท่าคา" เป็นตลาดน้ำที่ยังคงธรรมชาติ เต็มไปด้วยสวนผลไม้เต็มสองฝั่งคลอง ชาวบ้านซึ่งมีอาชีพทำสวน ปลูกพืชผัก ผลไม้ จะพายเรือนำผลผลิตจากสวนของตนออกมาขาย


ผลผลิตที่นำมาขายนั้นล้วนแต่มีราคาถูก มีผลไม้ตามฤดูกาล น้ำตาลมะพร้าวที่ทำกันสดๆใหม่ๆ


นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมได้ทั้งสองฝั่งคลอง และมีเรือพายบริการนักท่องเที่ยว พาเที่ยวชมสวนผลไม้และดอกไม้ ราคาไม่แพงอีกด้วย


นักท่องเที่ยวที่ชอบการถ่ายภาพ คงจะเพลิดเพลินไม่น้อย มีมุมให้เลือกถ่ายภาพมากมาย เหมาะที่จะถ่ายภาพแนววิถีชีวิต (Life) แนะนำให้พกเลนส์เทเลไปด้วย


ของกินก็มีไม่น้อย ทั้งก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ขนมเบื้อง ฯลฯ ซื้อแล้วก็นั่งกินกันริมตลิ่งเลย ได้บรรยากาศสุดๆ


อีกหนึ่งความประทับใจของที่นี่คือ รอยยิ้มจากชาวบ้าน แม่ค้าทั้งหลาย มีความเป็นกันเอง อารมณ์ขัน ทำให้บรรยากาศของตลาดน้ำแห่งนี้สดชื่นแจ่มใส เลยทีเดียว


นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่อยากให้ลองมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติ วิถีชาวบ้าน เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การท่องเที่ยว การพักผ่อนหย่อนใจ แล้วยังได้ชิมอาหารพื้นบ้านอร่อยๆ พร้อมกับเลือกกลับไปฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว และการถ่ายภาพซึ่งกันและกัน สวัสดีค่ะ

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เดินเล่นที่คลองลัดโพธิ์ ชมความสวยงามของ สะพานภูมิพล

สะพานภูมิพล เคยมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม" เป็นสะพานขึงขนาด 7 ช่องจราจร ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จุดที่สะพานเป็นวงแหวนเชื่อมระหว่างสะพานภูมิพล1 และสะพานภูมิพล2 เข้าด้วยกันนั้น จะอยู่บริเวณประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ซึ่งใต้สะพานวงแหวนนี้จะเป็นสวนสุขภาพลัดโพธิ์ เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนระแวกนั้นมาออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ เป็นปอดอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดีย บทความนี้จะพาไปชมสะพานภูมิพลทั้ง 1 และ 2 ในมุมมองจากสวนสุขภาพลัดโพธิ์ และจากประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์กันค่ะ

** อุปกรณ์ทริปนี้ Canon EOS 550D + Tamron 17-50 f 2.8 VC 


สวนสุขภาพลัดโพธิ์นี้เปิดให้เข้าตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำ ภายในจะมีพิพิธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงผลงานในโครงการของกรมทางหลวงชนบท


สวนที่นี่สร้างล้อมรอบบ่อน้ำขนาดใหญ่ รวมทั้งมีลู่วิ่งไว้ให้ชาวบ้านระแวกนั้นได้ออกกำลังกายกัน


สวนด้านที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนช่วงเย็นๆจะมีลมพัดเย็นสบาย เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อน และอ่านหนังสือยิ่งนัก


ตอนเย็นพระอาทิตย์จะตกทางด้านซ้ายมือเมื่อหันหน้าออกทางแม่น้ำเจ้าพระยา


เมื่อช่วงทไวไลท์มาถึงก็เริ่มหามุมถ่ายภาพ ตรงจุดนี้จะเป็นบริเวณสะพานตรงประตูระบายน้ำเลย จะค่อนข้างเปลี่ยว ถ้ามาถ่ายตอนเย็นๆค่ำๆ ควรมากันเป็นกลุ่ม


วันปกติสะพานจะไม่เปิดไฟครบทุกดวง นอกจากจะเป็นวันสำคัญต่างๆ


คลองลัดโพธิ์นี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพ Landscape มีทั้งความสวยงามของสะพาน และความสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถถ่ายได้ทั้งช่วงกลางวัน และช่วงทไวไลท์ รับรองว่าจะเพลิดเพลินจนไม่อยากวางกล้องกันเลยทีเดียว

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว และการถ่ายภาพซึ่งกันและกัน สวัสดีค่ะ

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เย็นยันค่ำ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

สุโขทัย เป็นจังหวัดเล็กๆอยู่ทางตอนล่างของภาคเหนือ ผู้คนในพื้นที่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายบนพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งถ้ามองย้อนไปในอดีตแล้ว จังหวัดเล็กๆอย่างสุโขทัยนี้ เคยมีอดีตที่รุ่งเรือง เป็นถึงราชธานีแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรม ที่ล้ำค่า สวยงาม มีศิลปะวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า จนมาถึงปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของสุโขทัย นั่นคือ "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย" ซึ่งได้รับคัดเลือกจากองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เข้ามาชมความงดงามของเมืองเก่าแห่งนี้กันมากมาย

** อุปกรณ์ทริปนี้ Canon EOS 550D + Tamron 17-50 f 2.8 VC + Tamron 70-300 f 4-5.6 VC USD



ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ สามารถเที่ยวชมได้โดยการเดิน ขับรถ หรือขี่จักรยาน เปิดให้ชมจนถึงสามทุ่ม ช่วงค่ำๆพอแสงอาทิตย์หมด ไฟสปอตไลท์จะส่องไปที่โบราณสถานต่างๆ เรียกได้ว่ามาที่นี่ได้ภาพกลับไปทุกสภาพแสงกันเลยทีเดียว


"วัดศรีชุม" อยู่นอกกำแพงเมือง ภายในมีวิหารสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑป เป็นที่ประดิษฐานของ "พระอจนะ" พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 11.30 เมตร


ถึงจะเป็นโบราณสถานที่อยู่นอกเขตกำแพงเมือง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม ความสวยงามของวัดนี้เป็นจำนวนมาก


ภายในวิหารมีเนื้อที่จำกัด จะเก็บภาพพระแบบเต็มองค์ได้ ต้องใช้เลนส์แบบ ultrawide เท่านั้น


"วัดสระศรี" เป็นโบราณสถานสำคัญ ที่ตั้งอยู่เกาะกลางน้ำ สิ่งสำคัญของวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงลังกา ด้านหน้าวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย


"วัดมหาธาตุ" เป็นวัดใหญ่และสำคัญที่สุดของที่นี่ เป็นศูนย์กลางของเมืองสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ประจำทิศอีกแปดองค์บนฐานเดียวกัน


พระประธานปางมารวิชัย มีลักษณะงดงามตามแบบศิลปะสุโขทัย ตอนช่วงพระอาทิตย์ตกถึงพลบค่ำ มีไฟส่องสว่างไปยังองค์พระประธาน ทำให้สวยงามเป็นสง่ายิ่งนัก


เจดีย์ขนาดเล็ก อยู่รอบๆบริเวณวัดมหาธาตุ บรรยากาศตอนเย็นก็สวยงามไปอีกแบบ


ภายในอุทยานประวัติศาสตร์มีบริเวณกว้างขวาง จึงยากที่จะเก็บภาพความงามช่วงทไวไลท์ของวันได้ทุกโบราณสถาน


เพียงไม่กี่นาทีช่วงทไวไลท์ของวันก็หมดลง แต่ยังสามารถเดินชมโบราณสถานได้จนถึงสามทุ่ม


การได้มาเยือน "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย" ในครั้งนี้ ไม่ได้เพียงแต่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของไทยเท่านั้น ยังได้ชื่นชมความงดงามของสถาปัตยกรรม ได้ภาพความประทับใจที่สวยงาม และยังได้พักผ่อนหย่อนใจ กับธรรมชาติที่งดงามในทุกช่วงเวลาของที่นี่อีกด้วย

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว และการถ่ายภาพซึ่งกันและกัน สวัสดีค่ะ

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

เดินเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชมพระอาทิตย์ตกสุดชิลล์ ที่ Asiatique The Riverfront

หากใครกำลังมองหาสถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ แบบเก๋ๆ หรืออยากถ่ายภาพแนว Landscape , Cityscape โดร่าขอแนะนำสถานที่ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ นั้นคือ Asiatique The Riverfront เป็นแหล่งท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญกรุง จะเปิดตั้งแต่ช่วงเย็นๆ เดินทางสะดวกทั้งทางรถ และทางเรือ สามารถเก็บภาพกันได้ตั้งแต่ช่วงแสงตอนเย็น แสงทไวไลท์ ไปจนถึงแสงไฟจากสิ่งปลูกสร้างและเรือที่ผ่านไปมาตอนกลางคืนได้เลยทีเดียว

** อุปกรณ์ทริปนี้ Canon EOS 550D + Tamron 17-50 f 2.8 VC


ถ้ามาถึงตั้งแต่ห้าโมงเย็น ช่วงที่ยังมีแสงแดดอยู่ ก็เดินเก็บภาพบรรยากาศทั้งริมน้ำ และภายในส่วนโกดังซึ่งเป็นสถานที่ช้อปปิ้งซึ่งมีการตกแต่งไว้อย่างสวยงามด้วยสไตล์สถาปัตยกรรมในช่วง พ.ศ. 2450 ถึง พ.ศ. 2490


ผู้คนมากมายทั้งคนไทย และคนต่างชาติ นิยมมาเที่ยวที่นี่ จนเรียกได้ว่าเป็น Landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพฯได้เลย


 ทางเอเชียทีคได้นำชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (Asiatique Sky) มาตั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา


ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ความสูง 60 เมตรจากพื้นดิน ทำให้สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน สวยงาม


บริเวณริมน้ำของเอเชียทีคแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามแห่งนึงของกรุงเทพฯ เป็นวิวแบบพาโนราม่า มีลมพัดเย็นตลอด ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย


ภายหลังพระอาทิตย์ตก ก็จะเป็นช่วงเวลาของแสงทไวไลท์ ซึ่งเป็นเหมือนสวรรค์ของนักถ่ายภาพ


ช่วงทไวไลท์นี้แต่ละวันจะมีเวลาเพียงไม่กี่นาที เป็นช่วงเวลาที่สวยงามสมแก่การรอคอยมาตลอดวัน 


อีกไม่นานแสงสวยๆอย่างนี้กำลังจะหมดไป แต่ความสุขของผู้คนที่กำลังชื่นชมอยู่ก็ไม่หมดตาม


เมื่อมาที่ริมน้ำที่เอเชียทีคนี้ ก็เพลิดเพลินจนลืมช่วงเวลาต่างๆไปเลย มารู้ตัวอีกที แสงหมด มืดแล้ว อาคารต่างๆเริ่มเปิดไฟ ช่างภาพก็กางขาตั้งกล้อง เมื่อ Speed Shutter ต่ำ มันจึงเกิดเส้นสาย


ภาพสุดท้าย สามารถถ่าย Cityscape ได้จากมุมนี้ ด้านขวาสุดของเอเชียทีค เมื่อหันหน้าออกทางแม่น้ำ จะเห็นแสงไฟในเมืองได้อย่างชัดเจน

ถ่ายภาพที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็นถึงค่ำ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ไม่มีความสุข ทั้งบรรยากาศ ความสวยงาม และความสดชื่น อยากให้ทุกคนมาสัมผัสบรรยากาศริมน้ำยามเย็นที่เอเชียทีคแห่งนี้กันค่ะ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว และการถ่ายภาพซึ่งกันและกัน สวัสดีค่ะ

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

เกาะสีชัง .. น่าชังจริงหรือ ?? ไปดูกัน

เมื่อถึงฤดูหนาวของทุกปี การท่องเที่ยวไทยก็เริ่มคึกคัก เพราะอะไรนั่นหรอ ก็เพราะอากาศมันชวนให้พาร่างกายเราไปรับลมเย็นๆอ่อนๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งปี ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในฤดูนี้ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ทางภาคเหนือ หรือภาคอีสาน บนดอยบนภู สัมผัสทะเลหมอก และดอกไม้สวยๆ รวมไปถึงได้สัมผัสกับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต่างก็พาครอบครัว เพื่อนฝูง ไปชมธรรมชาติอันสวยงามในฤดูนี้ บางท่านที่ไม่ค่อยชอบคนเยอะก็อาจจะรู้สึกอึดอัดไปบ้าง แต่ถ้าเราไม่ไปดอยไปภูหล่ะ แล้วจะมีสถานที่ท่องเที่ยวไหนที่บรรยากาศสวยๆ อากาศดีๆ ในฤดูหนาวอีกบ้าง หนึ่งในคำตอบนั้นคือ ทะเล บางคนอาจจะไม่เชื่อ เพราะทะเลต้องเที่ยวตอนฤดูร้อนสิ ถึงจะได้บรรยากาศ โดร่าจึงอยากให้ท่านลองไปสัมผัสทะเลฤดูหนาวดู แล้วจะรู้ว่าทะเลสวยที่สุดตอนไหน

ทะเลแรก ของทริปปี 2556 นี้คือ "เกาะสีชัง" ทำไมต้องเป็นเกาะสีชังน่ะเหรอ เพราะว่าที่นี่ตอบโจทย์ของหลายๆคนได้ดี ทั้งใกล้กรุงเทพฯ เดินทางสะดวกทั้งขับรถไปเอง และรถขนส่งมวลชน สามารถเที่ยวได้ครบภายในวันเดียว เหมาะกับผู้ที่อยากพักผ่อน แต่มีเวลาไม่มากนัก "เกาะสีชัง" เป็นเกาะที่ไม่ใหญ่มาก ภายในเกาะมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันค่ะ

** อุปกรณ์ทริปนี้ Canon EOS 550D + Tamron 17-50 f 2.8 VC + Tamron 70-300 f 4-5.6 VC USD



เราจะเริ่มต้นจากที่เกาะลอย อำเภอศรีราชา มาลงเรือที่ท่าเรือเกาะลอย เรือจะออกทุกๆชั่วโมง เรือมีขนาดไม่ใหญ่มาก เหมือนดัดแปลงมาจากเรือประมง มีด้วยกัน 2 ชั้น ถ้าไปก่อนเวลาเรือออกและมีที่นั่งเหลือเยอะ ถ้าให้ได้บรรยากาศ ควรนั่งชั้นบน รอบเรือช่วงเช้าถึงสาย ให้นั่งฝั่งขวา แดดจะไม่ร้อน แต่ถ้ามันเลือกไม่ได้หล่ะ ก็ทนเอาค้าบบบบ ก็แค่แดด อิอิ


ระหว่างทางจะมีเรือน้อยใหญ่ ให้ได้ชม ควรใช้เลนส์ช่วงเทเล เพื่อเก็บรายละเอียดของเรือแต่ละลำ


ทั้งเรือประมงของชาวบ้าน ทั้งเรือขนส่ง เรือบรรทุกน้ำมัน เยอะค่ะ โฟกัสแม่นๆ แล้วจัดการยิงซะ ควรคุม speed shutter ขณะเรือแล่นด้วยนะค่ะ แต่ไม่ต้องซีเรียส ไม่ได้เร็วขนาดนั้นนนนน


นั่งเรือมาประมาณ 40 นาที ก็ถึงท่าเรือเทววงศ์ เกาะสีชัง ลงจากเรือแล้วจะอะไรยังไงต่อ ไม่ยากค่ะ มีให้เลือก 2 วิธีคือ เช่ารถมอเตอร์ไซค์ ขับเที่ยวเองรอบเกาะ หรือเหมารถสกายแล็ปเที่ยวรอบเกาะ ซึ่งพี่สกายแล็ปเค้าก็จะพาเที่ยวประมาณนี้ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ,พระจุฑาธุชราชฐาน ,ช่องเขาขาด ,หาดถ้ำเขาพัง ก็ตามแต่สะดวกของนักท่องเที่ยวแต่ละท่านค่ะ


ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำ ซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน จากบริเวณศาล มองเห็นทิวทัศน์ บ้านเรือนด้านหน้าเกาะได้อย่างชัดเจน สวยงาม


หลังจากกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่เสร็จ เดินหามุมถ่ายภาพบริเวณรอบๆ แต่ละมุมสวยงามนัก บนจุดนี้แนะนำเลนส์ช่วงนอลมอล หรือไวด์ เพราะทะเลมันกว้างงงงงงงงงงงง


พระจุฑาธุราชฐาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ในชั้นเนินเขาที่สูงต่ำ ลดหลั่นกันไปอย่างงดงาม


มุมยอดนิยมของเกาะสีชังนี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก "สะพานอัษฎางค์" นักท่องเที่ยวและช่างภาพทั้งหลาย ไม่ควรพลาดจุดนี้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Landscape ,Portrait หรือ Pre-wedding ก็สวยงามทั้งนั้น ก็บรรยากาศมันดีจริงๆค่ะ


พระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางค์นิมิตร เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง สร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค จุดนี้จะอยู่ไกลซักหน่อยนะคะ ต้องเดินๆๆๆๆๆ แล้วก็เดิน ขึ้นเขาด้วย -*-


ช่องเขาขาด อยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ และชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม


แหลมมหาวชิราวุธ คล้ายกับแหลมพรหมเทพแต่เล็กกว่า เป็นแหลมที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะสีชัง มีสะพานทอดยาวยื่นออกไปยังแหลม ฤดูหนาวนี้ถ้ามาชมพระอาทิตย์ตกน้ำ พระอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่โต เป็นพิเศษ


วัดถ้ำจักรพงษ์ เป็นถ้ำเล็กๆตั้งอยู่บนไหล่เขา ช่วงกลางของเกาะสีชัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ เหนือถ้ำขึ้นไปบนยอดเขา มีพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่ เรียกว่า พระเหลือง องค์พระสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลขณะนั่งเรือ


นี่คือวิวด้านหน้าเมื่อมองจากวัดถ้ำจักรพงษ์ ซึ่งเกาะที่มองเห็นตรงหน้าคือ เกาะขามใหญ่ และในทะเลเต็มไปด้วยเรือบรรทุกสินค้าเรียงรายเต็มทะเล


อ่าวอัษฎางค์ (หาดถ้ำเขาพัง) อยู่ส่วนกลางทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ มีลักษณะเป็นอ่าวโค้ง ภาพนี้ได้มาจากจุดชมวิวก่อนถึงหาดถ้ำเขาพัง


อ่าวอัษฎางค์ (หาดถ้ำเขาพัง) เป็นชายหาดที่กว้างและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใส จึงมีผู้คนนิยมมาเล่นน้ำจำนวนมาก


บริเวณชายหาดมีร้านอาหารทะเลไว้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้าน


หาดถ้ำเขาพังนี้ ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอีกด้วย ภาพนี้วัดแสงเฉพาะจุด และเล่นสีใน Photoshop ค่ะ


เที่ยวรอบเกาะสีชังใช้เวลา 1 วันเต็มๆ ถ้ากลับเรือรอบ 17:00 น. เมื่อมาถึงบริเวณท่าเรือเกาะลอยก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่งเลยทีเดียว บริเวณเกาะลอยนี้มีสวนสาธารณะให้พักผ่อนหย่อนใจกันด้วย อากาศดี ลมพัดเย็นสบาย และชมพระอาทิตย์ตกตรงหน้า เพลินกันเลยทีเดียว ถึงเวลาต้องกลับแล้ว แต่ยังไม่อยากกลับเลย


ความงามของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่สวยงามโดยไม่ต้องปรุงแต่ง มันก็สามารถวาดลวดลาย และสีสันออกมาได้อย่างสวยงาม เพียงแต่ว่าคุณจะได้เห็นมันหรือไม่ก็เท่านั้น ถ้ามีโอกาสก็ลองพาตัวและใจออกไปสัมผัสความงามที่ธรรมชาติสร้างมากันค่ะ

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว และการถ่ายภาพซึ่งกันและกัน สวัสดีค่ะ